สุดยอดว่าน...ว่านเพชรสังฆาต

สิ่งที่ผมจะนำมาเขียนนี้ เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นกับตัวผม แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว และผมก็ได้ผ่านช่วงนั้นมาได้ด้วยดี ผมจึงอยากนำประสบการณ์ที่พบเจอนั้นมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อเป็นเกร็ดความรู้ และสามารถนำไปใช้รักษาเบื้องต้นได้สำหรับผู้ที่กำลังเป็น หรือมีอาการคล้ายว่าจะเป็นเหมือนกับที่ผมเคยเป็นมา นั่นก็คือ โรคริดสีดวง ซึ่งเป็นโรคที่เกิดได้ง่ายในทุกเพศ ทุกวัย ซึ่งตอนแรกที่ผมถ่ายเป็นเลือด ผมก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นโรคนี้ ผมคิดแค่เพียงว่า สงสัยผมไม่ได้ถ่ายมาหลายวัน พอถ่ายแล้วต้องใช้แรงในการเบ่งมากจึงทำให้มีเลือดออก แต่พอเป็นหลายๆวันเข้าผมเริ่มรู้สึกไม่ดี เพราะกลัวว่าจะเป็นโรคร้ายแรง ผมจึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษาคุณพ่อกับคุณแม่ คุณพ่อจึงแนะนำให้ผมกินว่าน เพราะมันมีสรรพคุณต่างๆมากมายที่สามรถช่วยรักษาโรคนี้ได้ ซึ่งสรรพคุณของว่านชนิดนี้ก็คือ


ดังนั้นเมื่อผมรู้ว่าตัวเองเป็นโรคริดสีดวง ผมจึงต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหารของผมใหม่ เนื่องจากผมเป็นคนไม่ชอบทานผัก ผมก็ต้องหันมาทานผักและอาหารที่มีกากใยเพิ่มขึ้น ดื่มน้ำเยอะๆ และพยายามถ่ายให้เป็นเวลามากขึ้นกว่าแต่ก่อน


โรคริดสีดวงทวาร คือ โรคที่มีลักษณะหลอดเลือดดำที่ไส้ตรง (RectalorHemorrhoidal
Veins) โป่งพองหรือขอด ทำให้มีอาการเจ็บๆ คันๆ ในระยะแรกและจะเพิ่มเป็นอาการเจ็บปวดในระยะหลัง โรคนี้มีอาการที่สำคัญ คือ เลือดออกขณะหรือหลังอุจจาระ เนื่องจากเมื่อหลอดเลือดโป่งพองมากขึ้น การโป่งพองนี้จะทำให้การเสียดสีระหว่างอุจจาระกับเส้นเลือดที่โป่งพองมีมากขึ้นทำให้เกิดการแตกแยกเป็นแผลและเลือด ออกขณะและหลังถ่ายอุจจาระได้





ว่านเพชรสังฆาต


ลักษณะ : พันธุ์ไม้เลื้อยที่มีลำต้นเป็นเหลี่ยมมียางสีขาวแตกเป็นท่อน บางท่อนมีส่วนยึดเกาะเกี่ยวพันพืชอื่น ใบสีเขียวออกตามข้อสั้นๆ ใบเดี่ยวออกท่อนละ 1 ใบ ดอกขนาดเล็กออกตามข้อต้นเป็นช่อ ดอกย่อยมีขนาดเล็กสีแดง ผลสุกสีดำ
แหล่งที่พบ : ถิ่นเดิมอยู่ในอัฟริกา อาหรับ และอินเดีย ปลูกเป็นไม้ประดับตามซุ้มหรือรั้ว
สรรพคุณ : ต้นสด คั้นน้ำรักษาโรคลักปิดลักเปิด ประจำเดือนผิดปกติ หยอดหูแก้น้ำหนอง หยอดจมูกแก้กำเดาไหล เป็นยาธาตุเจริญอาหาร
ส่วนที่ใช้ประโยชน์ ได้แก่
เถา : รักษากระดูกแตก ซ้น โรคริดสีดวงทวาร ยาระบายขับพยาธิ แก้ปวด ขับลมในลำไส้
ใบและยอดอ่อน : รักษาโรคลำไส้ที่เกี่ยวกับอาหารไม่ย่อย แน่นท้อง
น้ำคั้นจากลำต้น : รักษาโรคลักปิดลักเปิด ความผิดปกติของประจำเดือน หูน้ำหนวก และ
เลือดกำเดาไหล


อ้างอิงจาก...http://www.gpo.or.th/rdi/html/rid.html

ประวัติ Web Blog

Blog มาจากศัพท์คำว่า WeBlog บาง คนอ่านคำ ๆ นี้ว่า We Blog บางคนอ่านว่า Web Log แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งสองคำบ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน ว่านั่นคือบล็อก (Blog)ความหมายของคำว่า Blog ก็คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาของ blog นั้นจะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัว หรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องการเมือง เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ เป็นต้น โดยจุดเด่นที่ทำให้บล็อกเป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อก จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเอง ใส่ลงไปในบทความนั้น ๆ โดยบล็อกบางแห่ง จะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะ เช่นกลุ่มเพื่อน ๆ หรือครอบครัวตนเอง
จุดเด่นที่สุดของ Blog ก็คือ มันสามารถเป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียนบล็อก และผู้อ่านบล็อกที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่ชัดเจนของบล็อกนั้น ๆ ผ่านทางระบบ comment ของบล็อกนั่นเองในอดีตแรกเริ่ม คนที่เขียน Blog นั้นยังทำกันในระบบ Manual คือเขียนเว็บเองทีละหน้า แต่ในปัจจุบันนี้ มีเครื่องมือหรือซอฟท์แวร์ให้เราใช้ในการเขียน Blog ได้มากมาย เช่น WordPress, Movable Type เป็นต้นผู้คนหลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลก หันมาเขียน Blog กันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่นักเรียน อาจารย์ นักเขียน ตลอดจนถึงระดับบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้น NasDaqเมื่อสองสามปีที่ผ่านมา Blog เริ่มต้นมาจาก การเขียนเป็นงานอดิเรก ของกลุ่มสื่ออิสระต่าง ๆ หลาย ๆ แห่งกลายเป็นแหล่งข่าวสำคัญ ให้กับหนังสือพิมพ์หรือสำนักข่าวชั้นนำ จวบจนกระทั่งปี 2004 คนเขียน Blog ก็ได้รับการยอมรับจากสื่อและสำนักข่าวต่าง ๆ ถึงความรวดเร็วในการให้ข้อมูล ตั้งแต่เรื่องการเมือง ไปจนกระทั่ง เรื่องราวของการประชุม ระดับชาติและจากเหตุการณ์เหล่านี้ นับได้ว่า Blog เป็นสื่อชนิดหนึ่งที่ไม่ต่างจาก วีดีโอ , สิ่งพิมพ์ , โทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งวิทยุ เราสามารถเรียกได้ว่า Blog ได้เข้ามาเป็นสื่อชนิดใหม่ ที่สำคัญอย่างแท้จริงสรุป ให้ง่าย ๆ สั้น ๆ ก็คือ Blog คือเว็บไซต์ ที่มีรูปแบบเนื้อหา เป็นเหมือนบันทึกส่วนตัวออนไลน์ มีส่วนของการ comments และก็จะมี link ไปยังเว็บอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วยอ่านจบบทความนี้ คิดว่าหลาย ๆ ท่านน่าจะเข้าใจว่า Blog คืออะไร เพิ่มขึ้นมากแล้วนะครับ

เทคนิคการเรียนเก่ง มี 7 ข้อ



ข้อที่ 1:พกปากกาสี 12 สีติดตัว
ทฤษฎีสี กล่าวไว้ ว่า สีจะสามารถเพิ่มการจดจำเนื้อหาต่าง ๆ ได้มากกว่า สีน้ำเงินที่เขียนตามปกติจึงควรซื้อปากกาสีต่าง ๆ ติดตัวไว้ เวลาอ่านหนังสือก็ใช้ปากกาสีในการจดเนื้อหา ของ stabio ก็ดีนะ ทนหลายปีเลยแหล่ะ
* สำหรับคนที่กลัวว่าจะจดไม่ทันก็ใช้วิธีจดเฉพาะเนื้อหาสำคัญพร้อมกับบันทึกเสียงไปพร้อม ๆ กัน แค่นี้ก้อสามารถจดจำได้แล้วล่ะ
ข้อที 2:ใช้สมุด note ที่ไม่มีเส้น
การใช้สมุดnote ที่มีลายเส้นนั้นเหมือนเราอยู่แต่ในกรอบเส้นนั้น แต่ถ้าใช้สมุดnote ที่ไม่มีเส้นนั้นจะทำให้เราไม่มีกรอบในการเขียน เราอยากเขียนอะไรก็อยากเขียนได้ทั้งนั้น ปัจจุบันหาซื้อยาก ต้องลองหาแถว ร้านขายสมุดวาดรูปได้นะ
ข้อที่ 3:บันทึกงานออกมาในรูป Mind Map Or Pic.
ถ้าเราอ่านหนังสือการ์ตูนตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว กับอ่านหนังสือ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราจะสามารถจดจำการ์ตูนได้มากกว่า เวลาจดเนื้อหาบางอย่างอาจจะจดในรูปแบบ Pic. จะสามารถจดจำได้มากกว่าการบันทึกงานในรูปแบบของ mind Map จะเป็นการแบ่งเรื่องหัวข้อใหญ่ต่าง ๆ เพื่อใช้ในการอ่าน อาจใช้ mind map เป็นรูปก็ได้
ข้อที่ 4:Mp3
เราควรจะมี mp3 เพื่อใช้ในการบันทักเสียงเวลาที่คุณครูสอนแต่ไม่สามารถฟังและเก็บเกี่ยวเนื้อหาได้ครบทุกอย่างหากเราอัดไว้ก็จะสามารถย้อนกลับไปฟังได้ หลาย ๆ ครั้ง ก่อนสอบ
ข้อที่ 5:เอาใจครู
เอาใจครูในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเอาอกเอาใจครู หมายถึง ทำตัวตามสไตร์ที่คุณครูชอบ เพื่อเพิ่มความชอบของคุณครูในตนเองเวลาเราชอบครูคนไหนก็อยากเรียนกับครูคนนั้น อยากส่งงาน ครู อยากเจอหน้าครู ก็จะทำให้เรียนเก่งยิ่งขึ้นเพราะ เราอยากเรียนวิชานั้น ๆ
ข้อที่ 6:พูดคุยกับปากกา
ก่อนสอบ หรือก่อนเขียนงานเราควรพูดคุยกับปากกาบ้าง คุณหนูดี กับ ด็อกเตอร์ อะไรเนี่ยแหล่ะจำชื่อไม่ได้ ก็ใช้วิธีนี้จนเรียนจบปริญญา
ข้อที่ 7:นั่งหน้าห้อง
นั่งหน้าห้องจะสามารถทำให้เราได้ยินมากกว่าคนที่นั่งข้างหลังเรา เห็นชัดกว่าคนข้างหลังเราและสามารถถามครูได้มากกว่า ซึ่งมันเป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว